简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:เมื่อเร็ว ๆ นี้มีประเด็นฮือฮาเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุน Defi สำหรับมาตรฐานโทเค็นใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า ERC-4626 ERC-4626 เป็นมาตรฐานโทเค็นที่ถูกเสนอโดยนาย Joey Santoro
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีประเด็นฮือฮาเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุน Defi สำหรับมาตรฐานโทเค็นใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า ERC-4626 ERC-4626 เป็นมาตรฐานโทเค็นที่ถูกเสนอโดยนาย Joey Santoro ผู้ร่วมก่อตั้ง Fei Protocol ผ่านการโพสต์บน Twitter เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา โดยเขากล่าวว่ามาตรฐานโทเค็นใหม่นี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักพัฒนาบน Ethereum Blockchain ประหยัดเวลาให้กับนักพัฒนา ช่วยเร่งการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างความปลอดภัยและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้โทเค็น
สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น “ERC-4626 เป็นการกำหนดทิศทางของการฝากและถอนเงินจาก Vault ที่กำหนดให้อยู่ที่โทเค็นเดียว สิ่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักพัฒนาในการรวบรวมปลั๊กอินต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยพวกเขาใช้อินเทอร์เฟซเพียงแค่ตัวเดียวแทนที่ต้องใช้ได้หลายสิบตัวเหมือนกับที่ผ่าน ๆ ” DeFi เป็นเรื่องของความสามารถในการปรับตั้งค่าเช่น การ wrap/unwrap, deposit/withdraw หรืออะไรก็ตามที่คุณอยากจะเรียกใช้งาน
“ Santoro กล่าวในแถลงการณ์ถึง Owen Fernau แห่ง The Defiant เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2022 ว่า ”สิ่งต่าง ๆ จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และ ERC-4626 จะกลายเป็นปลั๊กอินแบบรวมที่สามารถเชื่อมต่อโทเค็นเข้ากับบริการต่าง ๆ บน Vault เหล่านี้ Santoro ยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า TRIBE น่าจะนำข้อเสนอ ERC-4626 ไปใช้ ซึ่งก็แน่นอนว่าข้อเสนอนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกในชุมชนคริปโตบน Twitter และผู้ใช้มากมายต่างยกย่อง Santoro สำหรับแนวคิดที่น่าสนใจของเขา และกล่าวว่าวิธีที่สิ่งนี้จะช่วยผลักดัน DeFi ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
บทความนี้เปรียบเทียบบิทคอยน์และทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านจำนวนจำกัด ความสามารถในการเก็บมูลค่า ความปลอดภัย และความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย ทั้งสองสินทรัพย์มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงและตอบโจทย์นักลงทุนในลักษณะที่ต่างกัน — บิทคอยน์เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและสนใจเทคโนโลยีใหม่ ส่วนทองคำเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว บทสรุปเสนอแนวทาง “กระจายการลงทุน” ถือทั้งสองสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างโอกาสและความปลอดภัยในพอร์ตลงทุน
บทความนี้เปิดโปงปรากฏการณ์ “Pump and Dump” ในโลกคริปโต ที่อินฟลูเอนเซอร์ใช้ชื่อเสียงปลุกกระแสเหรียญเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยมักได้รับค่าตอบแทนหรือถือเหรียญไว้ล่วงหน้า ก่อนราคาจะถูกปั่นขึ้นจากความเชื่อของผู้ติดตาม แล้วถูกเทขายจนเหรียญราคาร่วง กรณีศึกษา “SaveTheKids” ชี้ให้เห็นว่าแม้อินฟลูเอนเซอร์จะมีชื่อเสียง แต่ไม่ได้หมายความว่ามีจรรยาบรรณ นักลงทุนจึงต้องใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
“Bitcoin Pizza Day” เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2010 เมื่อโปรแกรมเมอร์ชาวฟลอริดาชื่อ Laszlo Hanyecz ใช้ Bitcoin จำนวน 10,000 เหรียญซื้อพิซซ่า 2 ถาด ถือเป็นครั้งแรกที่ Bitcoin ถูกใช้ในการซื้อสินค้าจริงในชีวิตประจำวัน แม้เหรียญเหล่านั้นจะมีมูลค่าเพียง 1,300 บาทในตอนนั้น แต่หากเก็บไว้จนถึงปัจจุบัน มูลค่าจะทะลุ 33,000 ล้านบาท เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยน Bitcoin จากแนวคิดในกลุ่มเล็ก ๆ ให้กลายเป็นสินทรัพย์ระดับโลกที่มีอิทธิพลทางการเงินอย่างมหาศาล.
บทความนี้พาย้อนรอยคดีแชร์ลูกโซ่ในโลกคริปโต ตั้งแต่ BitConnect, OneCoin, PlusToken ไปจนถึงโปรเจกต์ไทยอย่าง HashBX และฟีเวอร์ ICO ในปี 2017–2018 สะท้อนให้เห็นรูปแบบหลอกลวงที่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้าตา แต่ยังคงใช้กลยุทธ์เดิมคือ “สัญญาผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น” โดยแฝงเทคโนโลยีทันสมัยมาเพิ่มความน่าเชื่อถือ บทเรียนสำคัญคือ นักลงทุนต้องระวังกับคำพูดที่ดูดีเกินจริง และควรตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยได้ในระยะยาว.